Archive for พฤษภาคม 19, 2004

ภาคหายเจ็บคอ แต่เริ่มมีน้ำมูก

ช่วงบ่ายๆ แอบลูกค้าหลับไปหลายยก ตอนหัวค่ำกระแทกยาแผงสีเขียวลงคอไปอีกสองเม็ด ตอนนี้มีน้ำมูกไหลมาอุดตันจมูกข้างขวาแล้ว ต้องนับว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะทำให้ไม่แสบจมูกอีกต่อไป

วันหนึ่งๆ ผมต้องอมยาอมหลายอย่าง สลับกันไปมา เพราะยาอมแต่ละชนิดจะแนะนำให้อมแบบทิ้งห่าง สองชั่วโมงต่อเม็ด ตอนนี้ไม่เจ็บคอแล้ว แต่เข้าสู่อาการเป็นหวัดอย่างจริงจังเสียที นั่นคือ มีไข้ อ่อนเพลีย และมีน้ำมูกอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

====
ปกติตอนค่ำๆ ผมชอบออกไปยืนพิงประตูกระจกหน้าร้านแล้วเหม่อมองออกไปข้างนอก มองไปรอบๆ แบบไม่มีจุดหมาย (ยกเว้นตอนที่เห็นสาวๆ ขาวๆ แว็บๆ ผ่านตา ก็จะเริ่มมีจุดหมายในการจ้องมองทันที) แต่ตอนนี้ฝนกำลังตกหนักอีกครั้ง … คงไม่มีสาวๆ ขาวๆ มาเดินผ่านแว๊บๆ ให้ดูเป็นอาหารตา เห็นมีแต่รถขายปลาหมึก(แห้ง)ปิ้งมาจอดหลบฝนอยู่หน้าร้าน

เคยมีอยู่คืนหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังยืนพิงประตูกระจกแล้วเหม่อมองออกไปข้างนอกตามปกติ แล้วก็มีลูกค้าสาวชาวต่างชาติ เข้ามาใช้บริการ เธอเห็นอาการของผมแล้วก็พูดเย้าว่า “Looking for freedom?” .. คืนนั้นผมได้แต่หัวเราะ เพราะนึกคำตอบไม่ทัน ที่จริงแล้วผมควรจะตอบว่า “I’ve already got my freedom here, because I’m using Linux”.

====
ทำไมพี่ไม่ใช้วินโดวส์ ? ลูกค้าคนหนึ่งถามผมในเย็นวันนี้ ผมถามกลับไปว่า แล้วทำไมถึงต้องใช้วินโดวส์ ? เธอก็ย้อนถามผมกลับมาอีกว่า ก็แล้วทำไมพี่ไม่ใช้ .. นี่ถ้าผมไม่ป่วยจนไม่มีเรี่ยวแรงไปต่อล้อต่อเถียง ผมก็คงไม่รีบจบการสนทนาอย่างรวดเร็วว่า “เพราะมันเสถียรกว่า” ห้วนๆ แบบหมดแรง แล้วก็นึกไว้ในใจว่า คราวต่อไปถ้าน้องมาถามตอนพี่ไม่หมดแรง รับรองว่าน้องต้องเจอปาถกฐาว่าด้วยเหตุผล “ทำไมผมจึงเลือกใช้ Linux” อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าห้านาทีแน่นอน

====
ฝนหยุดแล้ว ไปยืนพิงประตูกระจกหน้าร้านแล้วเหม่อมองออกไปเล่นๆ ดีกว่า เผื่อว่าจะมีสาวๆ เดินผ่านมาให้ผ่อนคลายสายตา ;)

Comments (2)

ป่วยไข้ ไม่สบาย กินยาแล้วก็ยังไม่หาย

เบื่อกับอาการป่วยของตัวเอง วันนี้รู้สึกว่าเป็นมากกว่าเมื่อวาน ทั้งๆ ที่เริ่มกินยาแล้ว เพราะทำใจแล้วว่าคงไม่ได้ไปบริจาคโลหิตแน่ๆ ยังคงแสบจมูกข้างขวาอยู่ เจ็บคอมากขึ้น ปวดหัวมากขึ้น มีไข้มากขึ้น จึงตัดสินใจใช้ยาที่แรงกว่าพาราฯ นั่นคือเจ้าแผงสีเขียวเพื่อนเก่า (ที่เคยทำเราหลับในแหกโค้งเกือบเอาชีวิตไม่รอดมาแล้ว เมื่อหลายปีก่อน)

====
เมื่อเช้าตอนที่อาบน้ำแล้วนึกเล่นๆ เกี่ยวกับการออกเสียงเรียกสิ่งต่างๆ ระหว่างคนไทย กับชาวต่างชาติ เช่น

ไก่ไทยขันว่า เอ๊ก อี้ เอ่ก เอก
ไก่ฝรั่งขันว่า คลอก เค่น ดอก เค่น ดู

คนไทยเรียกแมวให้มาหาว่า เหมียวๆๆ
ฝรั่งเรียกแมวให้มาหาว่า ฟุชชี่ ฟุชชี่ แคท

กบไทยร้อง โอ๊บๆ
กบฝรั่งร้อง ฟร๊อก ฟร๊อก
กบญี่ปุ่นร้อง เคโร๊ะ

แล้วทำไมบางคนจึงมีปัญหากับการออกเสียงและการเขียนคำว่า Linux กันหนักหนา?

ลินุกซ์ ลีนุกซ์ ลินิกซ์ ลินักซ์ ไลนักซ์ ฯลฯ ถ้าจะบอกว่าให้ยึดตามหน่วยงานหนึ่งที่คอยดูแลคำศัพท์และการออกเสียง ผมก็อยากจะบอกว่า …

สมัยที่ผมเรียนแรกๆ นั้น คำว่า
สัปดาห์ “ท่าน” ให้อ่านว่า สับ-ดา ห้ามออกเสียงว่า สับ-ปะ-ดา เด็ดขาด
ประวัติศาสตร์ “ท่าน” ให้อ่านว่า ประ-หวัด-ติ-สาด ถ้าออกเสียงว่า ประ-หวัด-สาด นั้นเป็นผิด

แต่เดี๋ยวนี้เราก็เห็นว่าเราสามารถออกเสียงได้หมด เพราะ “ท่าน” อนุโลมให้

สรุปว่าอยู่ร่วมกันอย่างสันติ อย่าตั้งแง่งอนกันเลยก็น่าจะได้มั๊งครับ ปิดประเด็น :)

====
ไปอ่าน Blog ของ คุณ MrChoke เกี่ยวกับ “แนวคิดตะเกียบ” แล้วก็เลยมานึกถึงตัวผมเอง …

สมัยเด็กผมใช้ตะเกียบได้ไม่ดีนัก ถนัดใช้ช้อนมากกว่า และเมื่อพยายามจับตะเกียบด้วยมือขวาที่ถนัด ก็ใช้ได้ไม่ดี ทั้งยังทำให้ผมใช้ช้อนมือซ้ายได้ไม่ดีอีกด้วย แล้วถ้าจะมาคอยเปลี่ยนเครื่องมือในการกินให้กับเจ้ามือขวา ก็ดูน่าเบื่อและทุลักทุเลพอสมควร ผมจึงเปลี่ยนใหม่ ในเมื่อเราทำได้ดีไม่ได้สักอย่าง ก็เอามือข้างที่ถนัดจับเครื่องมือที่เราถนัดที่สุดก่อน (เพราะอย่างน้อยก็ยังกินได้) แล้วเอามือข้างที่ไม่ถนัด ไปจับเครื่องมือใหม่ และค่อยๆ เรียนรู้ที่จะใช้มันไป

ผลก็คือ ทุกวันนี้ผมถนัดคีบตะเกียบด้วยมือซ้ายมากกว่า แถมพกด้วย ถ้าต้องใช้ช้อนมือซ้ายก็ทำได้ดีพอๆ กับมือขวา ข้อดีก็คือ เวลาไปร่วมวงรับประทานอาหาร ผมไม่ต้องคอยเปลี่ยนมือขวาให้จับช้อนหรือตะเกียบ และถ้าหากต้องไปนั่งติดกับเพื่อนที่จับช้อนมือซ้าย ผมก็สามารถเปลี่ยนให้มือซ้ายไปจับช้อนได้เช่นกัน (มือจะได้ไม่ชนกันเวลากิน) แต่ข้อเสียก็คือ เพื่อนๆ ที่รู้ถึงความสามารถข้อนี้ของผม มักจะไม่ร่วมวงกินข้าวด้วย เพราะจะกินไม่ทันผม ฮ่า ฮ่า ฮ่า ;)

====
ยาแผงสีเขียวคงเริ่มออกฤทธิ์แล้ว อาการปวดหัวน้อยลง แต่ไข้ยังไม่ลด (วัดจากความรู้สึก) แสบจมูกน้อยลง คงเป็นเพราะเริ่มมีน้ำมูกไหลลงมาหล่อเลี้ยงไม่ให้มันแห้งบ้างแล้ว ไม่แน่อาจจะมีการโพสรอบสองในวันนี้ (กำลังคึก)

ให้ความเห็น